วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

การเตรียมงาน หลังจากตึกพ้นชั้นใต้ดินแล้ว

เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา เขียนเรื่องการเตรียมงานสำหรับชั้นใต้ดิน  ดังนั้น ในวันนี้ จึงจะมาเขียนในส่วนของการเตรียมงาน หลังจากตึกพ้นชั้นใต้ดินขึ้นมาแล้ว ว่าหน้าที่ของผู้บริหารทรัพย์สิน และคลังพัสดุ จะต้องเตรียมตัว เพื่อลำเลียงเครื่องมือ และพัสดุ สำหรับเอามาดำเนินงานก่อสร้าง มีอะไรบ้าง

1) เมื่อชั้นใต้ดินเสร็จ แน่นอนว่า เหล็ก Sheet Pile จะต้องถูกถอน  King Post จะต้องถูกรื้อถอน  Plate From จะต้องถูกรื้อถอน  ดังนั้นเราจะต้องมาเตรียมการเรื่อง รถเทลเลอร์ ที่จะต้องเข้ามาขนย้ายวัสดุพวกนี้กลับออกไปจากโครงการของเรา ทีนี้มันก็จะต้องมาถึงขั้นตอนการประสานงานแล้วว่า


     1.1 ) เวลารถเข้า จะสามารถเข้าโครงการของเราได้เวลาไหน  โดยเฉพาะเขตกรุงเทพ ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเข้าออกของรถประเภทนี้อยู่  นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องรับทราบเอาไว้
     1.2) ประสานทีมที่รับผิดชอบ ในการขึ้นวัสดุให้เรา ว่าเป็นทีมไหน
     1.3) ประสานเครื่องจักรที่จะยกวัสดุขึ้นรถให้เรา
     1.4) จัดคนของฝ่ายบริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุ ในการตรวจนับจำนวน การวัดความยาว ( ของ Sheet Pile และ เหล็ก H-Beam )  การเช็ค Type ( ของ Sheet Pile )
     1.5) ที่สำคัญคือตัวของผู้รับผิดชอบ บริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุ จะต้องอยู่ดูแล การโอนย้ายออกวัสดุพวกนี้ ให้เรียบร้อย อย่าลืมว่าวัสดุพวกนี้เป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูง และที่สำคัญคือมันมีอำนาจพิเศษที่อยู่ในตัวของวัสดุพวกนี้ ที่จะล่อลวงให้คนเกิดความอยากได้ อยากทุจริตง่ายๆ ดังนั้น ผู้รับผิดชอบ บริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุ จะต้องอยู่ดูแล การโอนย้ายออกวัสดุพวกนี้ ให้เรียบร้อยก่อนเสมอ
2) การเตรียมข้อมูลเพื่อนำเข้าวัสดุในการก่อสร้างประเภทงานไม้แบบ ก็จะประกอยไปด้วย
     2.1) จะใช้อุปกรณ์ Table Form กี่ตารางเมตร ( ใน 1 ชุดก็จะมีขนาดตารางเมตรไม่เท่ากัน แล้วแต่บริษัทผู้ผลิต/ให้เช่า ทำออกมา ) กำหนดการเข้า จะให้เอาเข้าตอนไหน  ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ใน 1 ชุดของ Table Form มันมีอุปกรณ์อยู่มาก เช่น ขาโต๊ะ ล้อเหล็ก Beam คำ้ยัน เหล็กตัว C เป็นต้น  ความรู้ในเรื่อง Table Form จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้ เพื่อที่จะได้นำมาเป็นข้อมูล ในการเก็บรายการวัสดุ ว่าเรานำเข้ามากี่ชิ้น ในแต่ละวัสดุประกอบ Table Form โดยเฉพาะหากเป็นการเช่าจากข้างนอกยิ่งสำคัญ เพราะเมื่องานแล้วเสร็จ หากเราคืนไม่ครบ หรือเราบันทึกข้อมูลผิดเพราะเราไม่รู้จักของ  เราจะโดนเคลมค่าเสียหายสูงมาก


     2.2) จะใช้อุปกรณ์นั่งร้านญี่ปุน ( Form Work ) ขนาดเท่าไหร่ 1.90 เมตร , 1.70 เมตร , 1.50 เมตร , 1.20 เมตร , 0.90 เมตร หรือ 0.50 เมตร  เมื่อรู้ขนาดแล้ว ก็ต้องรู้ว่า แต่ละขนาด ใช้ขาตะเกียบความยาวเท่าไหร่  ต้องใช้ข้อต่อกี่ตัว  สิ่งเหล่านี้เราต้องประสานงานกับทางผู้จัดการโครงการ หรือวิศวกรโครงการให้ดี ทั้งปริมาณ และกำหนดการนำเข้า ต้องวางแผนงานล่วงหน้า  เพราะถ้าของบริษัท ฯ ไม่มี ก็ต้องเช่าจากข้างนอกเข้ามา


     2.3) เหล็กกล่อง ที่จะต้องใช้ในงานไม้แบบ ต้องถามขนาดที่จะใช้ จำนวนที่จะใช้ และวันนำเข้า เพื่อการสั่งซื้อที่จะต้องใช้เวลาสอบเทียบราคาให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
     2.4) ไม้อัด ที่จะต้องใช้ในงานไม้แบบ ต้องถามขนาดที่จะใช้ จำนวนที่จะใช้ และวันนำเข้า เพื่อการสั่งซื้อที่จะต้องใช้เวลาสอบเทียบราคาให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และจะใช้ไม้อัดชนิดไหน ไม้อัดเคลือบฟิล์มดำ หรือไม้อัดแดงธรรมดา
     2.5) เหล็กแป๊ปกลม พร้อมมือเสือที่จะต้องใช้รัดตรึงนั่งร้าน
     2.6) น้ำยาทาแบบ เป็นต้น
3) การเตรียมข้อมูลสั่งซื้อเหล็กเส้น และวัสดุประกอบ
     3.1) สอบถามวิศวกรออฟฟิศ หรือวิศวกรโครงการ หรือผู้จัดการโครงการว่า หน่วยงานของเรา ส่งเหล็กอนุมัติกี่ยี่ห้อ มีอะไรบ้างที่ได้รับการอนุมัติจาก Consult
     3.2) ถามให้แน่ใจในการสั่งซื้อเหล็กเส้นทุกครั้งว่า ให้สั่งซื้อเหล็กชั้นคุณภาพไหน SR24 , SD30 , SD40 หรือ SD50 เพราะถ้าสั่งมาผิดไม่ถามให้ถูกต้องก่อน ปัญหาที่จะตามมาก็จะยาว ที่สำคัญที่สุดคือ หน่วยงานจะเสียเวลาในการก่อสร้างไป
     3.3) สั่งซื้อเหล็กเส้นแล้ว ก็ต้องสั่งซื้อลวดผูกเหล็กด้วย
4) คอนกรีต  สำหรับคอนกรีตในการสั่งนั้น ทางฝ่ายบริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุจะไม่ได้เป็นคนสั่ง ผู้ที่สั่งโดยตรงมักจะเป็น วิศวกรโครงการ ทางฝ่ายบริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุจะมีหน้าที่ในการเก็บรวบรวมใบส่ง เพื่อประกบใบแจ้งหนี้ ส่งบัญชีหรือจัดซื้อ เพื่อรอชำระค่าสินค้าเท่านั้น  แต่สิ่งที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สินและคลังพัสดุ ควรจะรู้ไว้ก็คือ ชนิดคอนกรีต เช่น Lean , Mortat , Concrete Structure , Waterproof Concrete ,  Low Heat Concrete  และต้องรู้วิธีการจัดเก็บข้อมูลการเทคอนกรีต รายวัน รายเดือน ตลอดทั้งโครงการด้วย เพื่อเป็นข้อมูลนำเสนอให้ผู้จัดการโครงการได้รับทราบ
5) วัสดุงานก่อฉาบ เมื่องานโครงสร้างเริ่มขึ้นสู่ชั้นบนแล้ว สิ่งที่จะต้องเตรียมนำเข้าวัสดุลำดับต่อไป ก็คือ วัสดุประเภทก่อ - ฉาบ
     5.1) วัสดุที่ใช้ก่อก็จะประกอบไปด้วย อิฐมอญ ( ซึ่งมีหลากหลาย Spec )  อิฐบล็อก ( ซึ่งมีหลากหลาย Spec ) หรืออิฐมวลเบา  อย่างอิฐมวลเบาก็ต้องถามว่าโครงการระบุ Spec ไหนที่ต้องใช้ ชั้นคุณภาพ G2 หรือ G4 เป็นต้น




     5.2) ปูนก่อ ก็จะมีทั้งปูนก่อทั่วไป และ ปูนก่ออิฐมวลเบา ซึ่งก็ต้องสอบถามวิศวกรให้ดีว่าจะใช้ปูนก่อประเภทไหน  และขออนุมัติวัสดุกับทาง Consult ไปกี่ยี่ห้อ และได้รับการอนุมัติใช้วัสดุมากี่ยี่ห้อ เวลาเราเปิดใบสั่งซื้อ เราจะได้เปิดให้ถูกตามที่ทาง Consult อนุมัติ
     5.3) ปูนฉาบ ก็จะมีทั้งปูนฉาบทั่วไป และ ปูนฉาบอิฐมวลเบา ซึ่งก็ต้องสอบถามวิศวกรให้ดีว่าจะใช้ปูนฉาบประเภทไหน  และขออนุมัติวัสดุกับทาง Consult ไปกี่ยี่ห้อ และได้รับการอนุมัติใช้วัสดุมากี่ยี่ห้อ เวลาเราเปิดใบสั่งซื้อ เราจะได้เปิดให้ถูกตามที่ทาง Consult อนุมัติ
     5.4) คอนกรีตแห้ง สำหรับงานเทเสาเอ็น ทับหลัง ซึ่งก็ต้องสอบถามวิศวกรให้ดีว่าจะใช้คอนกรีตแห้งที่ขออนุมัติวัสดุกับทาง Consult ไปกี่ยี่ห้อ และได้รับการอนุมัติใช้วัสดุมากี่ยี่ห้อ เวลาเราเปิดใบสั่งซื้อ เราจะได้เปิดให้ถูกตามที่ทาง Consult อนุมัติ
     5.5) วัสดุประกอบงานก่อฉาบอื่นๆ เช่น ตะแกรงกรงไก่  น้ำยาผสมปูนฉาบ เป็นต้น
6) วัสดุงานสถาปัตย์
     6.1) วงกบ - บานประตู ใช้แบบไหน  ไม้จริงหรือเปล่า ถ้าไม้จริง เป็นไม้อะไร ไม้สัก ไม้แดง ไม้ตะเคียนทอง เป็นต้น  เราต้องรู้จักคุณสมบัติพิเศษของไม้ไว้บ้าง เช่น ไม้ตะเคียนทองของแท้ จะต้องมีรูมอด
     6.2) กระเบื้องปูพื้น ปูผนัง โมเสค หินแกรนิต  ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติวัสดุจาก Consult เรียบร้อยแล้ว และบางโครงการใช้กระเบื้องเป็น 10 ชนิด ดังนั้นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
     6.3) วัสดุสุขภัณฑ์  ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติวัสดุจาก Consult เรียบร้อยแล้ว
     6.4) อุปกรณ์ประกอบงานประตู  ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติวัสดุจาก Consult เรียบร้อยแล้ว
7) วัสดุงานสี
     7.1) สีรองพื้น
     7.2) สีจริง
      ซึ่งจะต้องผ่านการอนุมัติวัสดุจาก Consult เรียบร้อยแล้ว  และสีก็เป็นอะไรที่มีรายละเอียดเยอะมาก ทั้งเฉดสี รหัสของสี  ในแต่ละชนิดยี่ห้อ  ดังนั้นจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ

1 ความคิดเห็น:

  1. เป็นบทความที่มีประโยชน์มากๆค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่นำมาแบ่งปันค่ะ

    ตอบลบ